นิเทศออนไลน์ By Supv.Doi
นิเทศ Online By Supervisor Doi : ศน.กฤษฎา มณีเชษฐา ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สพป.ลำปาง เขต 1
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559
โปรแกรมช่วยคิดคะแนนจากข้อสอบกลาง (TestMD V.2)
โปรแกรมช่วยคิดคะแนนจากข้อสอบกลาง นี้ อ้างอิงการเก็บคะแนน 70:30 สามารถดัดแปลงได้ สามารถ Download ได้จาก Link นี้ ......โปรแกรม TestMD V.2 ...
วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ดาวน์โหลด นักเรียนระดับชั้น ป.3 สอบ NT ปีการศึกษา 2558 ของ สพป.ลำปาง เขต 1
นักเรียน ป.3 สพป.ลำปาง 1 สอบ NT 58 คลิกที่นี่
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559
การนับทศวรรษ ศตวรรษ และสหัสวรรษ
การแบ่งช่วงเวลาเป็น ทศวรรษ ศตวรรษ และสหัสวรรษ
การที่วัน เวลาผ่านไปทุกวันและมนุษย์ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้เวลายาวนานกว่าหนึ่งปี เมื่อพูดถึงอดีตหรืออนาคตที่ห่างจากช่วงเวลาปัจจุบันมาก ทำให้มนุษย์ต้องมีการกำหนดช่วงเวลาเพื่อให้สามารถกล่าวถึงช่วงเวลากว้าง ๆ ได้ การแบ่งช่วงเวลาของมนุษย์มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การแบ่งช่วงเวลาเป็น วัน เดือน ปี วินาที นาที ชั่วโมง พุทธศักราช (พ.ศ.) คริสต์ศักราช (ค.ศ.) เป็นต้น
เมื่อกล่าวถึงช่วงเวลาที่ผ่านไปแล้ว หรือช่วงเวลาที่ยังมาไม่ถึงเป็นเวลานาน ๆ เช่น 10 ปีก่อน 10 ปีข้างหน้า 100 ปีก่อน 100 ปีข้างหน้า 1000 ปีก่อน 1000 ปีข้างหน้า ได้มีการกำหนดคำขึ้นมาเพื่อกล่าวถึงช่วงเวลากว้าง ๆ ในรอบ 10 ปี รอบ 100 ปี และรอบ 1000 ปี ให้เข้าใจง่ายและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน ได้แก่ คำว่า "ทศวรรษ ศตวรรษ และสหัสสวรรษ"
ทศวรรษ หมายถึง ช่วงเวลาในรอบ 10 ปี เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 เป็นปีแรกของทศวรรษ และนับไปสิ้นสุดที่เลข 9 เรานิยมใช้ทศวรรษในการบอกช่วงเวลาทางคริสต์ศักราช
แม้ว่าการใช้พุทธศักราชจะไม่นิยมพูดถึงช่วงเวลาเป็นทศวรรษ แต่เราสามารถใช้ทศวรรษในการกล่าวถึงช่วงเวลา 10 ปีได้ เช่น
ทศวรรษที่ 40 ทางพุทธศักราช หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2540 - 2549
ตัวอย่างการใช้ทศวรรษ เช่น
- ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หมายถึง ในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
- มีการคาดการณ์ว่า ในทศวรรษหน้าทุกครัวเรือนจะมีคอมพิวเตอร์ใช้ หมายถึง ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ศตวรรษ หมายถึง ช่วงเวลาในรอบ 100 ปี เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ขึ้นต้นด้วยเลข 1 เป็นปีแรกของศตวรรษ จนถึง 100 เช่น
พุทธศตวรรษที่ 1 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 1 - พ.ศ. 100
พุทธศตวรรษที่ 2 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 101 - พ.ศ. 200
คริสต์ศตวรรษที่ 18 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 1701 - ค.ศ. 1800
คริสต์ศตวรรษที่ 20 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 1901 - ค.ศ. 2000
เรานิยมกล่างถึงช่วงเวลาเป็นศตวรรษทั้งแบบพุทธศักราชและคริสต์ศักราช ตัวอย่างเช่น
- ปัจจุบันพระพุทธศาสนามีอายุเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 26 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2501 - พ.ศ. 2600
- ปัจจุบัน โลกเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21 แล้ว หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 2001 - ค.ศ. 2100
สหัสวรรษ หมายถึง ช่วงเวลาในรอบ 1000 ปี เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ขึ้นด้วยเลข 1 เป็นปีแรกของสหัสวรรษ จนถึงปีที่ลงท้ายด้วยหลัก 1000 ตัวอย่างเช่น
สหัสวรรษที่ 1 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ.1 - ค.ศ.1000
สหัสวรรษที่ 2 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ.1001 - ค.ศ.2000
สหัสวรรษที่ 3 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ.2001 - ค.ศ.3000
พุทธสหัสวรรษที่ 3 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ.2001 - พ.ศ.3000
การที่วัน เวลาผ่านไปทุกวันและมนุษย์ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้เวลายาวนานกว่าหนึ่งปี เมื่อพูดถึงอดีตหรืออนาคตที่ห่างจากช่วงเวลาปัจจุบันมาก ทำให้มนุษย์ต้องมีการกำหนดช่วงเวลาเพื่อให้สามารถกล่าวถึงช่วงเวลากว้าง ๆ ได้ การแบ่งช่วงเวลาของมนุษย์มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การแบ่งช่วงเวลาเป็น วัน เดือน ปี วินาที นาที ชั่วโมง พุทธศักราช (พ.ศ.) คริสต์ศักราช (ค.ศ.) เป็นต้น
เมื่อกล่าวถึงช่วงเวลาที่ผ่านไปแล้ว หรือช่วงเวลาที่ยังมาไม่ถึงเป็นเวลานาน ๆ เช่น 10 ปีก่อน 10 ปีข้างหน้า 100 ปีก่อน 100 ปีข้างหน้า 1000 ปีก่อน 1000 ปีข้างหน้า ได้มีการกำหนดคำขึ้นมาเพื่อกล่าวถึงช่วงเวลากว้าง ๆ ในรอบ 10 ปี รอบ 100 ปี และรอบ 1000 ปี ให้เข้าใจง่ายและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน ได้แก่ คำว่า "ทศวรรษ ศตวรรษ และสหัสสวรรษ"
ทศวรรษ หมายถึง ช่วงเวลาในรอบ 10 ปี เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 เป็นปีแรกของทศวรรษ และนับไปสิ้นสุดที่เลข 9 เรานิยมใช้ทศวรรษในการบอกช่วงเวลาทางคริสต์ศักราช
แม้ว่าการใช้พุทธศักราชจะไม่นิยมพูดถึงช่วงเวลาเป็นทศวรรษ แต่เราสามารถใช้ทศวรรษในการกล่าวถึงช่วงเวลา 10 ปีได้ เช่น
ทศวรรษที่ 40 ทางพุทธศักราช หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2540 - 2549
ตัวอย่างการใช้ทศวรรษ เช่น
- ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หมายถึง ในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
- มีการคาดการณ์ว่า ในทศวรรษหน้าทุกครัวเรือนจะมีคอมพิวเตอร์ใช้ หมายถึง ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ศตวรรษ หมายถึง ช่วงเวลาในรอบ 100 ปี เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ขึ้นต้นด้วยเลข 1 เป็นปีแรกของศตวรรษ จนถึง 100 เช่น
พุทธศตวรรษที่ 1 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 1 - พ.ศ. 100
พุทธศตวรรษที่ 2 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 101 - พ.ศ. 200
คริสต์ศตวรรษที่ 18 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 1701 - ค.ศ. 1800
คริสต์ศตวรรษที่ 20 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 1901 - ค.ศ. 2000
เรานิยมกล่างถึงช่วงเวลาเป็นศตวรรษทั้งแบบพุทธศักราชและคริสต์ศักราช ตัวอย่างเช่น
- ปัจจุบันพระพุทธศาสนามีอายุเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 26 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2501 - พ.ศ. 2600
- ปัจจุบัน โลกเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21 แล้ว หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 2001 - ค.ศ. 2100
สหัสวรรษ หมายถึง ช่วงเวลาในรอบ 1000 ปี เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ขึ้นด้วยเลข 1 เป็นปีแรกของสหัสวรรษ จนถึงปีที่ลงท้ายด้วยหลัก 1000 ตัวอย่างเช่น
สหัสวรรษที่ 1 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ.1 - ค.ศ.1000
สหัสวรรษที่ 2 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ.1001 - ค.ศ.2000
สหัสวรรษที่ 3 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ.2001 - ค.ศ.3000
พุทธสหัสวรรษที่ 3 หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ.2001 - พ.ศ.3000
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559
13 เทคนิคทำให้เด็ก ตั้งใจเรียน
ธรรมชาติของเด็กนั้นจะให้ นั่งนิ่งๆ หรือมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ เป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก ดังนั้นครูจึงต้องใช้เทคนิควิธีที่จะช่วยดึงสมาธิของเด็กให้กลับมาสนใจอยู่ กับสิ่งที่ครูต้องการให้เด็กเรียน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ที่ครูต้องการให้เกิดขึ้นกับตัว ของเด็ก
ข้อแนะนำต่อไปนี้ จะช่วยให้ครูเรียกสมาธิและความตั้งใจเรียนของเด็กให้กลับคืนมาได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
- ครูต้องแสดงออกถึงพลังและความกระตือรือร้นอยู่เสมอในเวลาที่อยู่กับเด็ก อาทิเช่น อย่าเอาแต่ยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ ให้เดินไปเดินมาบ้างและคอยพูดคุยสื่อสารกับเด็กอยู่เสมอ ครูควรปฏิบัติทั้งสองเรื่องนี้ควบคู่กันไป พร้อมกับหากิจกรรมที่สนุกสนานให้เด็กทำ
- การเรียนการสอนควรเปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมด้วย ไม่ควรยืนพูดหน้าชั้นอย่างเดียว และครูควรตั้งคำถามบ่อยๆ ทั้งคำถามที่ต้องการคำตอบและไม่ต้องการคำตอบ ในการสาธิตอะไรต่างๆ ให้เด็กดู ครูอาจเป็นคนเริ่มต้นคำถามโดยให้เด็กเป็นคนต่อจนจบ ครูอาจจะทำอะไรบางอย่างให้เด็กดู แล้วถามว่า “ทำไมครูถึงทำอย่างนั้น?” มากกว่าการอธิบายเองทั้งหมด
- ครูควรทำสิ่งต่อไปนี้บ่อยๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ คือให้เด็กๆ เขยิบมานั่งใกล้ๆ ครูในขณะที่ครูกำลังจัดการเรียนการสอนหรือแสดงอะไรบางอย่างให้เด็กดู อาจให้เด็กนั่งขัดสมาธิบนพื้นก็ได้
- เมื่อเด็กตั้งคำถาม ให้ครูโยนลูกไปให้เพื่อนนักเรียนด้วยกันเป็นคนตอบ โดยครูควรแน่ใจว่าเด็กคนแรกที่ครูเรียกเป็นคนที่รู้คำตอบนั้นๆ ดี เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับการเรียนรู้จากกันและกัน
- ให้ครูชี้ตัวเด็กเมื่อต้องการให้เด็กตอบคำถาม แทนที่จะใช้วิธีเรียกชื่อ เนื่องจากเด็กจะไม่สนใจเรียนจนกว่าจะได้ยินครูเรียกชื่อตนเอง การใช้วิธีชี้ตัวจะทำให้เด็กๆ ทุกคนในห้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องที่กำลังเรียน
- ในกิจกรรมที่ครูเคยเรียกเด็กให้ร่วมแสดงความเห็น ให้ครูเรียกเด็กคนนั้นซ้ำอีก มิเช่นนั้นเด็กที่ถูกเรียกให้ตอบหรือครูขอความเห็นแล้ว จะหมดความสนใจในการเรียนทันที การเรียกซ้ำจะช่วยให้เด็กตั้งใจเรียนต่อไป
หาก เด็กคนใดแสดงท่าทีกระตือรือร้นอยากแสดงออก ครูควรมอบหมายให้เด็กเป็นคนรับผิดชอบงานบางอย่าง อาทิ การเล่นเกมในห้อง หรือการทำกิจกรรมบางอย่าง อย่างน้อยที่สุดเด็กคนดังกล่าวจะเรียนรู้ทักษะความรับผิดชอบ - ในขณะที่ครูกำลังสาธิตหรือแสดงบางสิ่งให้เด็กกลุ่มหนึ่งดู ให้ครูตั้งคำถามหรือดึงเด็กจากกลุ่มอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วยโดยไม่ให้รู้ตัวล่วงหน้า เพื่อที่เด็กทุกกลุ่มจะได้ตั้งใจเรียนแม้ว่าครูจะไม่ได้สื่อสารกับกลุ่มเหล่านั้นโดยตรงก็ตาม
- เมื่อถึงเวลาที่ครูต้องเรียกเด็กๆ กลับมาประจำที่หลังจากที่ทำงานกลุ่มแล้ว วิธีที่ดีคือ ไม่ต้องใช้คำพูด แต่ให้ใช้สัญญาณดีดนิ้วให้จังหวะแทน เด็กบางคนจะเริ่มสังเกตสัญญาณดังกล่าวและปฏิบัติตาม ในไม่ช้าเด็กๆ ทั้งชั้นก็เรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามพร้อมกัน อย่างไรก็ดี ครูไม่ควรใช้วิธีปรบมือให้สัญญาณ เพราะเสียงจะดังเกินไปและอาจทำให้เด็กตกใจได้
- ครูไม่ควรผูกขาดการเรียกชื่อเด็กให้เข้าร่วมกิจกรรมแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เป็นผู้เลือกเพื่อนในชั้นเรียนเองบ้างด้วย
- พยายามใช้ประโยชน์จากความรู้ที่เด็กมี เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กหมดความสนใจในการเรียนคือ ครูมักคิดว่าเด็กอายุยังน้อยหรือมาจากครอบครัว/ชุมชนที่มีพื้นความรู้และ ประสบการณ์แตกต่างไปจากของครู หากครูรู้จักเลือกใช้ตัวอย่างจากโลกที่เด็กรู้จัก เด็กๆ จะเกิดความตื่นตัวที่จะเรียนรู้
- พยายามสื่อสารกับเด็กด้วยถ้อยคำที่เข้าใจง่าย อย่าทำให้เด็กเกิดความสับสนกับการใช้ศัพท์วิชาการยากๆ โดยครูควรเลือกใช้คำง่ายๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกันแทน
- เวลาที่ครูต้องพาเด็กออกไปทัศนศึกษานอกห้องเรียน หมั่นเปลี่ยนวิธีเดินเรียงแถวทุกครั้ง เช่น อาจให้เด็กเดินตามลำดับความสูง ตามวันเกิด หรืออาจให้เด็กหญิงเดินสลับกับเด็กชาย เป็นต้น ในขณะที่เดิน ให้เด็กนับสิ่งต่างๆ ที่พบเจอรอบตัว เช่น รถยนต์ อาคารบ้านเรือน ต้นไม้ ฯลฯ เพื่อฝึกทักษะด้านการสังเกตและด้านคณิตศาสตร์ไปในตัว
- บางครั้งครูไม่ควรให้ความสนใจจนเกินไปกับเด็กที่สร้างปัญหาในห้อง เช่น เด็กที่ชอบพูดคุย ยั่วแหย่เพื่อน ฯลฯ โดยเฉพาะหากการสนใจนั้นทำให้บรรยากาศของห้องเรียนทั้งหมดสะดุดลง หรือในกรณีที่ห้องเรียนมีนักเรียนจำนวนมากกว่า 20 คนขึ้นไป วิธีที่ดีที่สุดประการหนึ่งคือพยายามให้เด็กทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการ เรียน บางครั้งเด็กอาจจะสร้างปัญหาบางอย่างขึ้นมาอีก แต่พฤติกรรมเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่นาน ถ้าเด็กเห็นว่าเพื่อนๆ กำลังเรียนสนุกและไม่สนใจตน
ขอขอบคุณ http://www.krooupdate.com/
วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)